เที่ยวเขาค้อ

ปฏิทิน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สปอยเลอร์ คือ

สปอยเลอร์ ต้องมีรูปทรงและความสูงที่พอเหมาะด้วยนะครับ
ผมเคยอ่านเจอ แต่หาแหล่งเดิมไม่ได้แล้ว
นึกถึงลมที่ผ่านหลังคามาถึงช่วง กระจกหลัง กระโปรงหลัง
ส่วนใหญ่ลมจะตรงต่อไปตามแนวเดิมของหลังคา
ทำให้ส่วนบนของกระโปรงหลังอากาศบาง
อากาศที่ผ่านใต้ท้องจะดันช่วงท้ายรถให้ลอยขึ้น
ถ้าติดสปอยเลอร์ความสูงที่เหมาะสม
ลมที่พ้นหลังคา จะมากด สปอยเลอร์ สปอยเลอร์ก็มากดท้ายรถ
ซึ่งจะได้ผลสูงสุด ต้องคำนวนความสูง ความเร็วด้วย ฯลฯ ครับ




ที่มา http://www.aethailand.com/forum/index.php?topic=25755.0  http://www.sinkaonline.com/items_postedit.php?key=309409

สเกิร์ต คือ

สเกิร์ต คืออุปกรณ์เสริม เป็นเรื่องของความสวย มากกว่าหลัก แอโร่ไดนามิค ที่ใช้ในการติดเสริมชายล่างรอบๆ ตัวรถ เพื่อถ่วงให้รถหนักขึ้น และดูเหมือนกับว่าโหลดต่ำลงด้วย คนขายจะบอกว่าใส่เสกิร์ตมันก็จะถ่วงรถได้นิดนึง คือแบบขับเร็วๆ หรือเข้าโค้ง รถจะหนักขึ้น ไม่ปลิว ด้วยครับ 








ที่มา http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=52106379535cafa6  http://www.webtheone.com/yaris-ING.html

คำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องการโหลดเตี้ยรถยนต์

คำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องการโหลดเตี้ย 
          สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านผมใคร่ขอชี้แจงกรณีการโหลดเตี้ยซึ่งโดยปกติการโหลดที่ดีที่สุด
ควรทำโดยการเปลี่ยนสปิงโหลดใหม่เนื่องจากออกแบบมาโดยตรงสำหรับรถรุ่นนั้นๆ อย่างนี้จะดีที่สุด
และไม่มีปัญหาต่อเนื่องตามมาในภายหลัง  
         
          แต่ปัจจุบันนี้ลูกค้าบางท่านต้องการโหลดแบบประหยัดซึ่งแน่นอนการโหลดเช่นนี้จะทำโดย
การตัดสปิงเพื่อให้รถเตี้ยลงจะเอาเตี้ยเท่าไรก็ตัดเพิ่มตามไปตามนั้น และที่ร้านทั่วไปหลังจาก
ตัดสปิงแล้ว  ปลายสปิงรถส่วนใหญ่จะเป็นแบบก้นหอย คือ  ใหญ่ไปหาเล็ก คุณจะเจอปัญหาตัดสปิง
แล้วปลายสปิงไม่ลงบ่าเบ้าโช๊คอัพ จะมีปัญหาสปิงลั่นมีเสียงดัง หรือรถกระโดดจั๊ม หรือขึ้นแม่แรง
สปิงอาจหลุดจากเบ้าโช๊คได้ครับ (  ซึ่งผมก็เจอลูกค้าที่ไปโหลดจากที่อื่นมาให้แก้กรณีเช่นนี้มากมาย )

           ดังนั้นวิธีแก้ที่ถูกต้อง คุณต้องดัดปลายสปิงให้ลงในบ่าเบ้าโช๊คอัพ อย่างนี้จึงจะไม่มีปัญหา
ดังที่ได้เรียนให้ทราบ แต่การดัดปลายสปิง จะทำได้โดยวิธีเดียวคือใช้ไฟลนปลายสปิงจึงจะดัดให้ลง
บ่าเบ้าโช๊คได้ครับไม่สามารถทำได้โดยวิธีอื่นได้ ถามต่อว่าทำแบบนี้มีปัญหาหรือไม่ คำตอบคือ
มีครับ แต่ไม่มากนักเพราะเราลนไฟเฉพาะปลายสปิงเท่านั้น ไม่ใช่ไปลนตรงกลางสปิงซึ่งถ้าไปลน
ตรงกลางสปิงจะทำให้สปิงหักได้ครับ(   ซึ่งถ้าคุณไม่ต้องการให้ทางร้านใช้ไฟลน ทางร้านก็ยินดีมาก
เพราะไม่ต้องเสียค่าแก๊สไฟรวมทั้งเวลา  และถูกด่าในภายหลัง ทั้งๆที่ต้องการให้รถลูกค้าออกมาดีที่
สุด เข้าทำนองว่าทำงานเพิ่มขึ้น แต่ถูกว่าอย่างนี้ก็คงไม่อยากไปทำเพิ่มใช่ไหมครับ ) 

           แต่วิธีโหลดดังกล่าว เป็นการโหลดแบบประหยัดไม่มีสอนในตำราเรียน   เป็นการดัดแปลง
ซึ่งก็อย่างที่ทราบกัน การแปลงหรือดัดแปลงยังไงๆก็ไม่ดีหรือสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอนเพราะถ้าดีจริง
บริษัทที่ทำสปิงโหลดก็คงปิดกิจการกันไปหมดแล้วครับ แต่ที่ยังโหลดโดยการตัดสปิงก็เพราะราคาถูก
มาก  4  ข้างแค่ 1,000 - 1,500  บาทเท่านั้น  เฉพาะค่าแรงถอดใส่ก็ 800 - 1,200 บาทแล้ว 
   
           ดังนั้ ผมจึงขอเรียนให้ทราบว่า ถ้าท่านต้องการโหลดแบบดีที่สุด ก็ควรเปลี่ยนสปิงโหลดใหม่
เพราะการโหลดโดยการตัดสปิง ต้องมีปัญหาอยู่แล้ว มากน้อยก็ต้องอยู่ที่ช่างและรถชนิดนั้นๆด้วยครับ

            สุดท้ายถ้าถามผมว่าโหลดโดยการตัดสปิงดีไหม ผมก็คงยืนยันว่ ไม่ดีนะครับ เพราะผม
ไม่เคยเชียร์หรือแนะนำลูกค้าให้โหลดโดยวิธีนี้ เลย  นอกจากเป็นความต้องการของลูกค้าที่เจาะจงมาครับ


ที่มา http://www.hondacitythailand.com/club/archiver/tid-6616.html

การปรับตั้งไฟหน้ารถยนต์

การปรับตั้งไฟหน้ารถยนต์|การปรับไฟหน้ารถยนต์|วิธีปรับไฟหน้ารถ|การปรับตั้งไฟหน้า|การปรับไฟหน้ารถ|วิธีปรับไฟหน้ารถยนต์ 
การปรับไปไฟหน้ารถยนต์
ระบบส่องสว่างนั้นมีผลอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในการขับขี่ยามค่ำคืน ไม่เฉพาะผู้ขับเท่านั้น แต่หากยังรวมไปถึงเพื่อนร่วมทางด้วยล่ะครับ ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่ดูแลไม่ให้หลอดขาด แต่ยังรวมไปถึงระดับความสว่างของแสงไฟ,ตำแหน่งของลำแสงที่ตกกระทบยังพื้นถนน และโทนสีของลำแสงที่เหมาะสมด้วยครับ ยิ่งกับเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยหรือค่อนข้างอับแสงด้วยแล้ว คุณจะยิ่งเห็นความสำคัญของระบบไฟส่องสว่างเป็นทวีคูณเลยล่ะครับวิธีปรับไฟหน้ารถ
หลายๆ คนที่นิยมเปลี่ยนหลอดไฟหน้า (หรือไม่ก็เล่นกันทั้งโคมเลย) เพื่อให้สว่างหรือสวยขึ้น โดยเฉพาะกับหลอดไฟแบบ H.I.D หรือที่นิยมเรียกว่า Xenon ซึ่งได้รับความนิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน แต่นอกจากสีสันของแสงไฟที่สว่างไสวและโดนใจแล้ว การปรับตั้งโคมไฟให้ลำแสงสาดส่องได้อย่างถูกต้องและไม่ไปรบกวน
การมองเห็นของเพื่อนร่วมทาง ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไม่แพ้ส่วนอื่นๆ ด้วยเช่นกันครับ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องใช้นั้นก็มีเพียงแค่ไขควงแฉกและผ้าเทปเท่านั้น ถ้ายังไม่เคยปรับตั้งด้วยตัวเองล่ะก็ ตาม “นาย T” มาเลยครับ
tip_&_tech_1_07
1.จอดรถในโรงหรือที่จอดที่ได้ระดับ แบบหน้าตรงตั้งฉาก 90 องศากับกำแพง(ห้ามจอดเอียงเด็ดขาด) โดยให้ด้านหน้ารถห่างจากกำแพงประมาณ 50 ซม. และถ้าเป็นไปได้ก็ให้ปรับตั้งในยามค่ำคืนก็จะเห็นได้ชัดเจนกว่าครับ
tip_&_tech_1_08
2.เปิดไฟต่ำ แล้วใช้ผ้าเทปที่ได้เตรียมไว้แปะในแนวนอน (ขนานไปกับพื้น)ระหว่างจุดรวมแสงของโคมทั้ง 2 ข้าง ถ้าจะให้ชัวร์ควรวัดด้วยตลับเมตรอีกที เพื่อให้จุดรวมแสงนั้นอยู่ในระดับเดียวกันนั่นเองครับ จากนั้นก็ตัดผ้าเทปมาให้ยาวพอประมาณแปะในแนวดิ่งตรงจุดรวมแสงของโคมแต่ละข้าง และจุดกึ่งกลางของโคม
ไฟหน้าทั้ง 2 ข้าง จากนั้นก็เดินไปยังด้านหลังรถ โดยให้มองผ่านกระจกบานหลังมายังจุดรวมแสงที่กระทบกับฝาผนัง เพื่อตรวจเช็คระยะห่าง และความสูง-ต่ำของจุดรวมแสงจากโคมซ้าย-ขวาที่ตกกระทบบนพื้นผนังอีกทีครับ จากนั้นถอยรถออกให้ห่างจากฝาผนังประมาณ 7.6 เมตร โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับพวงมาลัย (ล้อยัง
ตรงเหมือนเดิม) แต่อย่างใด
tip_&_tech_1_09
3.เปิดฝากระโปรง แล้วมองหารูน็อตสำหรับปรับตั้งโคมไฟหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ด้านบน (หรือไม่ก็ด้านข้าง แต่ถ้าเป็นรุ่นเก่าๆ ก็อาจจะอยู่ด้านหน้า) ของโคมโดยน็อตดังกล่าวจะพิเศษกว่าน็อตปกติตรงที่สามารถจะไขได้ทั้งจากด้านบนและด้านข้างครับ และการปรับองศาของจานฉายให้ก้ม, เงยหรือเอียงซ้าย-ขวา ก็โดย
การขันเจ้าน็อต (2) ตัวนี้แหละครับ แล้วจึงปรับให้จุดรวมแสงนั้นอยู่ต่ำกว่าผ้าเทปแนวนอนที่ฝาผนังประมาณ 2 นิ้ว โดยใช้ไขควงแฉกไขที่น็อตปรับตั้งจานฉายนั่นแหละครับ เมื่อระดับความสูงได้แล้วก็อย่าลืมตำแหน่งซ้าย-ขวาของลำแสงด้วยนะครับ
tip_&_tech_1_10
จากนั้นให้ลองขับรถดูอีกทีว่าการส่องสว่างนั้นได้ระดับไฟที่ถูกต้องหรือไม่? ในที่นี้ก็คือ ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป พูดง่ายๆได้ว่ามองทางแล้วชัดเจนนั่นแหละครับ และนอกจากมุมมองที่ชัดเจนของเราแล้ว ก็จะต้องไม่รบกวนสายตาของเพื่อนร่วมทางด้วยนะครับ ส่วนไฟสูงที่ “นาย T” ไม่ได้พูดถึงนั้นก็เนื่องมาจากหากปรับไฟต่ำได้
ระดับแล้ว ระดับของไฟสูงก็จะขยับตามไปด้วยอยู่แล้วครับ ยกเว้นแต่ว่าเป็นโคมไฟที่แยกไฟสูง-ไฟต่ำ ก็จะต้องทำการปรับกัน 2 รอบด้วยนะครับ
ที่มา toyotathailand  http://www.thaicartrick.com/

ความรู้การติดเครื่องเสียงรถยนต์

เครื่องเสียงระบบต่างๆ




HI-POWER เป็นระบบพื้นฐานของเครื่องเสียงรถยนต์ และเป็นระบบที่ประหยัดงบที่สุด โดยใช้ภาคขยายจากตัววิทยุ
ไม่ต้องพึ่งพาพาวเวอร์แอมป์ โดยอาจจะเล่นลำโพงคู่หน้าขนาด 5-6นิ้ว ส่วนลำโพงชุดหลัง 6นิ้ว หรืออาจจะ 6x9 ก็ได้

SINGLE-AMP เป็นระบบที่ขยับต่อมาจาก HI-POWER โดยการเพิ่มแอมป์ไป 1ตัว อาจจะเป็นแอมป์ 4CH
เพื่อขับลำโพงทั้ง 2คู่ หน้า-หลัง เพื่อให้เสียงที่ได้นั้นอิ่มแน่นขึ้น และมีรายละเอียดชัดเจนขึ้น

BI-AMP เป็นระบบที่นิยมสูงมากในปัจจุบัน คำว่า BI หรือ 2 ไม่ได้หมายความว่าใช้แอมป์ 2ตัวนะครับ
แต่เป็นการแยกสัญญาณเสียงออกมา 2ชุด คือ กลาง/แหลม และซับวูเฟอร์ออกจากกัน
โดยที่ปัจจุบันนี้สามารถใช้ครอสส์โอเวอร์ในแอมป์ตัดสัญญาณได้เลย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอีเลคทรอนิคส์ ครอสส์โอเวอร์เหมือนสมัยก่อน

TRI-AMP เป็นระบบที่น่าปวดหัวมากพอสมควร เพราะต้องหาจุดตัดครอสส์โอเวอร์ให้ได้เหมาะสมทั้งหมด 3สัญญาณเสียง
คืือ สูง/กลาง/ตํ่า แยกอิสระกันหมด แต่ต้องออกมากลมกลืน สอดคล้องกันอย่างลงตัว ซึ่งจำเป็นต้องใช้นักจูนมืออาชีพช่วยจัดการ

Class ของ พาวเวอร์แอมป์์



ในเรื่องการแบ่งคลาสของแอมป์นั้น จะแบ่งจากการไปอัดกระแสไฟให้กับทรานซิสเตอร์ ที่ทำหน้าที่ในวงจรขยายเสียง
โดยจะยกตัวอย่างเพียง 4ประเภทดังนี้

1. Class A พาวเวอร์แอมป์ชนิดนี้เน้นในเรื่องของคุณภาพเสียง ค่าความเพี้ยนตํ่า
และเสียงรบกวนน้อยแต่มีข้อเสียในเรื่องของความร้อนที่ค่อนข้างจะสูง
เพราะ มีการป้อนกระแสไฟให้ทรานซิสเตอร์อยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะไม่มีสัญญาณอินพุทเข้ามาก็ตาม
และกำลังขับที่ได้นั้นก็ค่อนข้างจะน้อย แอมป์ประเภทนี้จึงเหมาะกับนักฟังที่เน้นรายละเอียดของเสียงกลาง-แหลม ไม่เน้นอัดตูมตาม

2. Class B เป็นการใช้ทรานซิสเตอร์ 2ตัว ทำงานแบบ Push-Pull หรือ ผลัก ดัน ช่วยกันทำงานคนละครึ่งทาง และจะไม่มีการป้อนกระแสไฟล่วงหน้า ซึ่งมีข้อดีคือเครื่องไม่ร้อน แต่ข้อเสียกลับมากกว่าเพราะความผิดเพี้ยนสูงมาก เสียงจึงไม่มีคุณภาพ แต่ในปัจจุบันแอมป์ คลาสนี้คงจะไม่มีแล้ว

3. Class AB เป็นการรวมตัวกันของแอมป์ทั้ง 2คลาสที่กล่าวมา คือใช้ทรานซิสเตอร์ 2ตัว แต่จะมีการป้อนกระแสไฟปริมาณตํ่าๆเอาไว้ล่วงหน้าอยู่ตลอดแต่จะไม่มากเท่าคลา ส A และการจัดวงจรก็ใช้แบบ Push-Pull เหมือนคลาส B จึงทำให้พาวเวอร์แอมป์ประเภทนี้มีคุณภาพเสียงที่ค่อนข้างดี ถึงแม้จะไม่เท่าคลาส A แต่ได้เปรียบในเรื่องของกำลังขับที่มากกว่า
และเกิดความร้อนน้อยกว่า และคลาส AB นี้แหละเป็นแอมป์ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน
และสามารถนำไปขับได้ทั้งลำโพงกลาง-แหลม หรือแม้แต่ซับวูเฟอร์ก็ได้

4. Class D เป็นพาวเวอร์แอมป์ กำลังขับสูง เน้นหนักในเรื่องพละกำลังเพียงอย่างเดียว แอมป์ชนิดนี้ถูกออกแบบมาสำหรับขับซับโดยเฉพาะ เหมาะกับพวกที่ชอบฟังเพลงหนักๆ เน้นพลังเบส กระแทกแรงๆ

ตู้ปิดและตู้เปิด
การ ตี ตู้นั้นคือการออกแบบตู้ให้มีขนาดเหมาะสมกับลำโพงหรือซับวูลเฟอร์ที่เราจะใส่ ลงไป ซึ่งสำหรับรถยนต์นั้นก็คงจะเห็นกันบ่อยแต่ตู้ซับวูลเฟอร์
เพราะลำโพงที่อยู่ในประตูรถนั้น ในส่วนของประตูนี่แหละที่จะทำหน้าที่เป็นตู้ลำโพงให้นั้นเอง
แต่ถ้าเป็นเครื่องเสียงบ้านเราก็มักจะเห็นลำโพงอยู่ในตู้กันเป็นปกติอยู่แล้ว และหลักการพื้นฐานนั้นก็เหมือนๆกัน
ซึ่งปกติที่พบเห็นกันบ่อยคงหนีไม่พ้น ตู้ปิด และ ตู้เปิด นั้นเอง



1. ตู้ปิด หรือภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Acoustic suspension เป็นการออกแบบตู้ซับวูลเฟอร์ให้ปิดทึบทุกด้านตามชื่อของมัน ซึ่งอากาศจะอยู่ภายในตู้นั้นจะไม่มีมีช่องทางให้อากาศไหลเข้าหรือออกไปได้ นั้นเอง แนวเสียงเบสของตู้ชนิดนี้ จะได้เสียงที่แน่น ลงลึก
แถมยังมี ข้อดีที่จูนง่าย รวมถึงยังใช้ขนาดตู้ไม่ใหญ่มาก แต่เสียงที่ได้ค่อนข้างดี และเป็นตู้ที่ผมชอบมากที่สุดอีกด้วย ส่วนข้อเสียคือต้องใช้กำลังขับจากแอมป์ค่อนข้างมากกว่าตู้แบบอื่น แต่ด้วยเทคโนโลยีในสมัยนี้นั้น เรื่องกำลังขับคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพียงแต่ต้องเลือกแอมป์และซับวูลเฟอร์ให้เหมาะสมกัน รวมถึงแนวเสียงของซับก็ต้องเลือกให้ถูกใจผู้ฟัง และขนาดตู้นั้นก็ต้องให้เหมาะสมกันด้วย



2. ตู้เปิด หรือภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Bass reflex ตู้ชนิดนี้นั้นจะมีรูหรือท่อช่วยระบายเสียงเบส โดยการออกแบบนั้นจะต้องคำนวนให้ดี เพราะต้องคำนึงถึงการผลักของอากาศให้ไปในทิศทางเดียวกันเสมอ จุดประสงค์ของตู้เปิดนั้นคือ ให้เสียงเบสที่ค่อนข้างมาก (ปริมาณเสียงเบส) ในขณะที่ใช้กำลังขับจากแอมป์ที่เท่ากัน ซึ่งข้อดีก็คือได้เสียงที่ดังกว่าตู้ปิด แต่ข้อเสียก็คือคุณภาพเสียงเบสนั้นจะไม่แน่น ลงลึก เท่ากับตู้ปิด รวมถึงขนาดตู้ก็ค่อนข้างจะมีขนาดใหญ่

นอกจากนี้ก็ยังมีตู้แบบอื่นๆอีก เช่น Bandpass ที่หลังๆก็เริ่มได้ความนิยมกันมากขึ้นเพราะดูสวยงาม

Capacitor หรือที่เราคุ้นหูว่า cap คืออะไร



power capacitor หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆว่า cap เป็นตัวสำรองไฟให้กับชุดเครื่องเสียง โดยเฉพาะเครื่องเสียงชุดใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้ไฟมากๆ ยิ่งเฉพาะในช่วงที่มีเสียงเบสเยอะๆในระยะเวลาสั้นๆ ไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์นั้นอาจจะส่งมาไม่ทันหรือไม่เพียงพอ ทำให้พาวเวอร์แอมป์ไม่สามารถจ่ายพลังงานไปให้ลำโพงได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้คุณภาพเสียงที่ออกจากลำโพงนั้นลดลง

เจ้า capacitor จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของระบบไฟนี้เอง โดยปกติแล้วมันจะเก็บประจุไฟเอาไว้เต็มอยู่เสมอ แต่เมื่อใดที่พาวเวอร์แอมป์ต้องการกำลังไฟมากขึ้นและแบตเตอรี่ส่งมาให้ไม่เพียงพอ ไฟที่ถูกเก็บสำรองอยู่ใน capacitor
ก็จะถูกนำมาใช้ในช่วงนั้น แล้วก็จะเริ่มสะสมไฟใหม่อีกครั้งจนเต็ม และจะทำงานอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ

ใน ปัจจุบันนี้รถหลายๆรุ่น มักจะลดต้นทุนโดยการให้แบตเตอรี่ ลูกเล็กมากับรถ ซึ่งจะเล่นเครื่องเสียงทีก็ลำบากในเรื่องระบบไฟอยู่พอสมควร สังเกตุง่ายๆสำหรับคนที่ไปทำเครื่องเสียงมาอาจจะเปลี่ยนแค่ ฟร้อน แล้วมีอาการ ไฟหน้าจอวูบๆ นั้นแหละครับ อาการของไฟไม่พอ ฉนั้นไม่จำเป็นต้องเครื่องเสียงชุดใหญ่ที่จะต้องใช้ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับระบบไฟของรถว่าเพียงพอหรือไม่



ที่มา http://www.pajerosportsociety.com/society/index.php?topic=1160.0 

ขั้นตอนการปฏิบัติในการทำความสะอาดกรองอากาศ

ขั้นตอนการปฏิบัติในการทำความสะอาดกรองอากาศ 
เช็ดฝาครอบหม้อกรองอากาศให้สะอาด 
ถอดนอตหางปลา ปลดคลิปล็อกและเปิดฝาครอบออก 
ดึงไส้กรองอากาศออกจากหม้อกรอง 
เช็ดทำความสะอาดภายในหม้อกรองอากาศ 
ตรวจเช็กไส้กรองอากาศ 
ถ้าเห็นว่าสกปรกมากหรือครบอายุการใช้งาน ควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ หากเห็นว่าสกปรกไม่มาก คุณสามารถทำความสะอาดได้ โดยใช้ลมเป่า จากด้านใน ผ่านไส้กรองอากาศออกสู่ภายนอก 
ใส่ไส้กรองอากาศกลับเข้าที่ โดยให้เข้ากับบ่ารับ 
ประกอบฝาครอบให้ตรงกับเครื่องหมาย ใส่นอตหางปลา และใส่คลิปล็อก เข้าที่เดิม 
 
เห็นไหมครับว่า ไม่ยากเลย เพียงแต่มีข้อแนะนำเล็กน้อยครับ กรณีที่คุณต้องเปลี่ยนไส้กรองอากาศแท้นะครับ เพื่อความมั่นใจผมแนะนำ ให้คุณเลือกซื้อไส้กรองอากาศ รวมทั้งอะไหล่ทุกชิ้นสำหรับรถคู่ใจของคุณ จากศูนย์บริการหรือตัวแทนจำหน่ายอะไหล่ของแต่ละยี่ห้อเท่านั้น 
และไหน ๆ คุณก็เปิดฝากระโปรงรถดูไส้กรองอากาศแล้ว น่าจะลองสังเกตระดับ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ซึ่งปกติจะต้องอยู่ในระดับ ขีดสูงสุดเสมอ ถ้าพบว่า อยู่ต่ำกว่าระดับขีดสูงสุด จะต้องเติมน้ำมันแต่ละประเภท ให้อยู่ในขีดสูงสุด แต่ถ้าพบว่าน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ หรือน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ต่ำกว่าขีดสูงสุดบ่อย ๆ จะต้องนำรถเข้าตรวจเช็ก ที่ศูนย์บริการ 

นอกจากนี้ คุณน่าจะดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำ ซึ่งปกติจะต้องอยู่ที่ขีด "MAX" ถ้าต่ำกว่าขีด "MAX" แต่ไม่ต่ำกว่าขีด "MIN" ให้เติมน้ำสะอาดในหม้อพักน้ำให้อยู่ที่ขีด "MAX" แต่ถ้าพบว่าขีดระดับน้ำต่ำกว่า "MIN" จะต้องเปิดฝาหม้อน้ำ และเติมน้ำสะอาด ในหม้อน้ำก่อน จากนั้นจึงเติมน้ำสะอาด ในหม้อพักน้ำให้อยู่ในขีด "MAX" 

สุดท้ายลองดูระดับน้ำในกระบอกน้ำล้างกระจก ควรอยู่เต็มขีดสูงสุดเช่นกัน เพื่อเตรียมไว้ล้างกระจกยามฉุกเฉิน แต่ห้ามเติมผงซักฟอกลงในกระบอกน้ำล้างกระจก นะครับ อันที่จริงคุณควรตรวจดูระดับน้ำ และน้ำมันต่าง ๆ เป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง เพื่อรักษารถคู่ใจของคุณ ให้อยู่กับคุณนา
นขึ้นครับ


ที่มา  http://www.fordfocusclub.com/forum/index.php?topic=5815.0  http://www.factorlube.com/

วิธีเลือกซื้อแม็กมือสอง

วิธีการดูล้อmaxแท้ มือสองแบบคราวๆเพื่อเป็นพื้นฐานในการเลือกซื้อล้อ 
ล้อแท้ กับ ล้อไทย ล้อcopy ต่างกันยังไง ก่อนอื่นออกตัวก่อนนะครับ ว่าไม่ใช่ว่าล้อไทยหรือพวกล้อcopyไม่ดีนะครับ แต่ว่าสิ่งที่ผมจะบอกก็คือผลิตภันท์ที่ออกมา ว่ากันด้วยเนื้องาน วัตถุดิบในการผลิต กระบวนการผลิต มันไม่เหมือนกันครับวัสดุแต่ต่างกันมากมายในการผลิต 
จะว่าไปแล้ว 
ล้อmaxไทยก็ดีในระดับหนึ่งครับ 
ล้อcopy ก็ดีในระดับหนึ่งเช่นกัน 
ล้อmaxนอกก็ดีในระดับหนึ่งครับ แต่ว่าวันนี้เนี้ยเราจะมาดูกันที่maxนอกแท้ๆกันก่อน 

วิธีการดูล้อmaxนอกมือสองที่พวกเราๆฮิตกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น te37 ce28 re30 gtc rg2 ssr(type c) prodirve 
พวกก้านยก ก้านไม่ยก ว่ามีวิธีการดูอย่างไร 
ว่าแต่อะนร้าทำไมต้องล้อแท้มือสองอะก็รวยอะจะซื้อมือหนึ่งงะ อันนี้ถ้ามีตังก็เบิกล้อแท้ใหม่ๆกันไปเลยครับ คริๆ กลับมาที่ล้อแท้มือสองกันดีกว่า ตอบไม่ยากครับพี่น้องก็ของใหม่มันแพงมากๆนิครับ ขนาดว่าล้อบางรุ่นเนี้ย+ยางแบบสุดยอด ราคาแพงกว่าเงินที่เราเอาไปดาวน์เจ้าES ของพวกเราอีกนะครับ เอากะไอ้เจ้าพวกล้อนี่สิครับ แล้วเราจะทำไงกันดีละ ไม่ให้โดนย้อมแมวกันเน้อ หลังจากที่แต่ก่อน ผมโดนมาก็แยะ เจ็บมาก็แยอะ 
อย่างแรก ต้องไปดูตัวจิงๆตัวเป็นๆกันก่อนนะครับ จะเสียเงินทั้งทีมันต้องได้เห็นตัวจริงๆตัวเป็นๆนะครับ 
Ahhhh เจอล้อที่อยากได้แล้ว 
อันดับแรกอะนะปัญหาเกิดแล้วครับmaxอยากได้มันติดยางมาอะสิทำไงดี ง่ายๆครับขั้นแรก ถอดยางก่อนเลยครับ อย่าเกรงใจของซื้อของขายเราต้องได้เห็นครับ ย้ำเลยยนะครับ ต้องถอดยางที่ติดออกมาก่อน ถ้าเค้าไม่ให้ถอดต้องเอะใจไว้ก่อนเลยยนะครับ เพราะว่าอะไร เพราะว่าเราดูเนื้องานข้างในไม่ได้ไงครับ และวิธีการที่จะบอกนี้ต้องถอดยางออกเท่านั้นนะครับ 

เอามาชุดแรกเลยยครับสุดฮิตสำหรับหมู่เฮาชาวfd พวก Ray ce28 re30 te37 ก่อนอื่นเลยยง่ายๆครับคุณเองลองหาข้อมลเกี่ยวกับล้อที่คุณหมายตาหมายใจเอาไว ว่าไอ้เจ้าล้อพวกนี้เนี้ยมันมีกี่สี่กี่แบบ 
ยกตัวอย่างพวกสีทองกันดีกว่านะครับเห็นชอบกันแยะ เจ้าพวกRay สีทองเนี้ย มันมักจะเป็นสีทองฟอร์จ เอาละครับ มาดูกันเลยย 

อันดับแรกดูที่ขอบล้อครับแท้ไม่แท้ ขอบครับขอบล้อมันต้องแวว ก้านมันจะเป็นยิงทรายย ถ้าเห็นแล้วเป็นอย่างนี้ก็okในระดับนึง แต่ถ้าถามว่าบิวท์ได้มั้ย ตอบว่าได้ครับแต่เนี้องานดูออกครับ แต่ถ้าผมดูไม่ออกละ เอาครับต่อไป ดูครับถ้าขอบแวว ก้านยิงทราย okถื่อว่าขั้นแรกพอผ่านให้ไปดูจุดอื่นกันบ้างครับ 

เราก็มาดูพวกเพลท สติกเกอร์ต่างๆที่บอกspec ล้อ วันที่ผลิตวันที่เท่าไหร พ.ศ.ไหน เดือนไหน size ขนาดเท่าไหร่ ออฟเซ็ทเท่าไหร่ pcd หรือรูของล้อ ดูเพลทต่างๆว่าครบหรือไม่ครบ 

ต่อไปครับ ถ้าเป็นไปได้หรือมีโอกาศลองใช้มือลูบด้านในล้อ ลูบเพื่อไรครับ ลูบเพื่อจะสัมผัสกับเนี้องาน มันจะต้องเนียนและต้องกลมไม่มีสะดุดมือ ถ้าออกมาเนียนดีก็โอเคนะ ต่อไปลองดูที่บ่าด้านในของล้อครับบ่าอยู่ตรงไหนอยู่ตรงที่เราใส่ยางนั้นละครับ จับแล้วมันจะต้องให้ความรู้สึกว่าหนาๆดูลอยตะเข็บต่างๆลอยเชื่อม ต้องไม่มีโป๊ว เส้นต่างๆในการผลิตต้องคม ถ้าออกมาแบบนี้ก็โอเค 

แล้วต้องดูอะไรอีกละ อะนะแน่เลยย ต้องมีรอยขันน๊อตล้อใช้ปะ ถ้ามันไม่มีเลยยละ ถ้ามันใหม่ๆเลยย สัญนิฐานได้สองอย่างครับ อย่างแรกไม่ซ่อมไม่บิวท์มา ก็คือเจ้าของเก่าใช้รักษามากๆๆๆๆๆๆซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ครับ มันจะต้องมีรอบขับน๊อต รอยกระแทกเศษหินหรือกรวดอะไรบร้างงง ซึ่งนั้นแหละครับคือล้อมือสองที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว 
อย่างที่สองคือมีซ่อมมีบิวท์มาอะ 

ต่อมามาดูพวก ssr advan blckRaceing prodive 
ล้อมือสองพวกนี้เนี้ย แวะกลับมาย้ำดูกันที่รอยขันน๊อตล้อกันก่อนนะครับ ดูสิ ถ้ามี อะนะมันต้องมีกันอยู่แล้ว มันต้องมีรอยต่างๆกันอยู่บ้าง 
และก็เป็นmax ก้าน อย่างพวกนี้เนี้ยสิ่งที่เราต้องดูกันต่อไป ดูตามสั้นก้านครับ ทั้งด้านนอกและด้านในล้อ 
เพราะการพวกนี้มันเป็นตัวรับน้ำหนักทั้งหมด ดูสิว่ามีรอยร้าวป่าวว้า มีรอยทำสีมามั้ย และแน่นอนครับดูพวกเพลทที่ได้บอกไว้ logo สติกเกอร์ต่างๆ พวกนี้เนี้ยวัยรุ่นๆอย่างพวกเราอย่ามองข้ามนะครับ 

นิดนึงครับถ้าคนขายจะโกหกเราว่าล้อเนี้ยใหม่จริง ไม่เคยซ่อมไม่เคยอะไร ให้ดูตรงนี้ครับ ให้ลองสังเกตขอบสติกเกอร์ ถ้าเขาซ่อมมาเนี้ยส่วนใหญ่จะใช้กระดาษกาวบังไว้ตอนซ่อมแล้วค่อยพ่น ดูตามขอบสติกเกอร์เลยยครับ 
ถ้าขอบเพลทสติกเกอร์ต่างๆยังใส่ๆไม่มีรอยสียังคมๆอยุ่ก็ถือว่าผ่านได้ แล้วก็อย่างลืมลูปด้านใน แล้ววกกลับมาดูขอบต่างๆ และก็ลองสัมผัสตามที่บอกไว้แล้วข้างต้น 
ถ้าเป็นพวกล้อฟอร์จจะเบาลองยกดูว่าเบาป่าว เออมันเบาจิงๆ เส้นต่างๆในการผลิตล้อครบมั้ย พวกล้อฟอร์จเนี้ยจะมองเห็นเส้นสายในการผลิดจะเห็นได้ชัด ถ้ามีซ้อมมาเส้นต่างๆจะมองไม่เจอหรือไม่ครบมีขาดช่วงแล้วครับ(เส้นเล็กๆพวกนี้จะเห็น 
ได้ชัดมากๆด้านในและด้านที่เราใส่ยางเข้าไปนั้นละครับ)ต้องดูให้เรียบร้อย ปีกล้อด้านที่เราใส่ยางปีกล้อพวกนี้มันคมมั้ยหนามั้ย ถ้าเป็นไปได้เนี้ยลองกลิ่งเบาบนพี้น เราจะเห็นได้ว่าขอบล้อพวกนี้มันกลมป่าว 
***ถ้าไม่กลมมีคดมีดุ้งชิ่งไปเลยครับดูชุดอื่นดีกว่า เพราะล้อพวกนี้เนี้ยถ้ามีซ่อมหรือทำสีมาแล้วเนี้ย ราคาขายต่อจะไม่ได้ราคาเลยยครับ ชะนั้นแล้วเราต้องดูให้ดีที่สุดนะครับ ล้อพวกนี้ราคาแพงมากๆ 

ต่อไปลองไปดูพวก gtc ของvolkกันบ้าง 

อะนะก่อนซื้อลองศึกษาดูดีๆว่ามีกี่สีกันบ้าง ความพิเศษของล้อรุ่นนี้อยู่ที่ขอบของมันนะครับ ขอบของมันส่วนใหญ่เขาจะเรียกว่าขอบกระจกนะครับ ขอบมันจะโค้งๆเงาๆ ซึ่งขอบพวกนี้นะครับถ้าคุณท่านใดคิดจะสอยเจ้า gtc เนี้ยต้องเน้นเลยยนะครับ อย่าให้ขอบมันเป็นรอยหรือเบียดมาเป็นอันขาดเพราะ มันซ่อมลำบากมากครับ ซ่อมร้านทั่วๆไปเนี้ยจะปาดรอยแผลทิ้งออกไปงะ แล้วพอปาดออกไปก็งานเข้าสิก๊าบบ พวกขอบโค้งๆมันก็จะเป็นบ่าแทน พอมันเป็นบ่าปุ๊บ เนี้ย มันก็ไม่ใช้ gtcแล้วสิครับ มันก็จะดูไม่เรียบร้อยไม่เนียน ฉะนั้นแล้วเนี้ย ย้ำเลยนะครับว่าให้ดูที่ขอบ ที่เหลือก็เหมือนเดิมครับ ดูตามจุดต่างที่ได้บอกไว้จากการดูล้อรุ่นอื่นๆที่ผ่านมา ถ้าทำสีมากับตัวgtc สติกเกอร์ตรงก้านด้านนอกก็จะหายไป แล้วก็ดูอีกนิดครับตัวสีก้านกับตัวล้อgtc บริเวณขันน๊อตจะต้องคมเป็นเส้นนะครับไม่ใช่รอยบังแล้วพ่น น๊อตตามจุดยึดต่างๆจะต้องไม่มีรอยขัน ถ้าเจออย่างที่บอกไว้ก็เล่นได้เลยครับแล้วขับระวังๆด้วยนะอย่าไปเบียดขอบละเดียวมันจะเป็นรอยที่ขอบล้อ 

มาถึง te37ยอดฮิตอีกลาย อย่างที่บอกครับดูตามสภาพต่างๆที่เคยบอกไว้ก่อนแล้ว ถ้าเป็นสีอื่นๆที่ไม่ใช่ทองฟอร์จละ อะงงอะจิ te37 มีหลายสีมากๆนะครับลองศึกษาดู ลองดูล้อพวกสีๆกันบ้างดีกว่า ดูยังไง 

อย่างแรกเลยครับดูเนื้อสีกันก่อนถ้าให้ดีนะครับไปซื้อล้อติดผ้าเช็ดชื้นพอหมาดสะอาดๆ 
ไปสักผื่นแล้วลองเช็ดล้อดูครับ ไม่ต้องกัวคนขายว่านะครับ ก็เราจะซื้ออะ แถมเช็ดล้อให้อีกจะบ่นมั้ยหว่า ดูให้เรียบร้อยนะครับ เช็ดเพื่อดูไรครับ เพื่อดูเนื้อสีว่ามันมีรอยสีเยิ้มป่าว มีพ่นซ่อมมาป่าว ถ้ามีรอยสีแย้ม หนีเลยครับ ลองดูสิว่าสันต่างๆคมมั้ย สติกเกอร์เรียนร้อยป่าว ถ้ามีสะกิดมาบ้างก็อภัยกันได้น่าถ้าไม่มาพอรับได้นะ 

แล้วพอสิ่งที่ทุกคนรู้จักteก็เพราะก้านมันยกเน๊าะ 
หลายๆคนชอบเพราะก้านมันยกสวยงะ มันคลาสสิค มันอะนะก็ชอบตอบไม่ถูก Te ก้านยกคร๊าบบบ มันจะยกก็ต่อเมื่อmaxตัวนั้นเนี้ยออฟต่ำมากๆ maxทั่วไปพวกออฟกระเทยเนี้ยก็ประมาณ35-38ขับหน้าก็ได้ขับหลังก็ได้ขับสี่ก็ได้ แต่ๆครับแต่ถ้าจะเป็นteก้านยกเนี้ยหน้ากว้างมันต้อง9นิ้วขึ้นไปนะครับออฟก็ประมาณ+22 
+12 ซื่งมันก็จะไปอยู่กับพวก ขับหลังตัวแรงๆ sky sil 200sx พวกที่ต้องค่อนข้างโป่งกระจายwidebodyกันไป เพราะออฟ+22เนี้ยมันจะล้นออกมานอกตัวรถงะจร้า ถ้าออฟแยะๆอย่างพวกออฟ45ออฟ40ตัวล้อจะเข้าไปในตัวรถ ฉะนั้นแล้วพี่น้องทุกท่านที่จะซื้อเจ้าteก้านยกเนี้ย ยกแต้ๆเนี้ยจะต้องล้อกว่า9นิ้วขึ้นไปนะครับออฟต้อง+12+22มันถึงจะยกนะจร้า นอกนั้นเนี้ยเท่าที่รู้มามันไม่มีนะจร้า ใครเจอบอกด้วยนะ และที่สำคัญไอ้เจ้าteเนี้ยมันเป็นล้อฟอร์จด้วยนะ 


คราวนี้ทำไงหว่าพวกขับหน้าอยากเราอยากใส่teบ้างงิเนาะ เออ ทำไมก้านขับหน้ามันไม่ยกหว่า ไม่ต้องตกใจนะครับ พวกออฟขับหน้าเนี้ยก้านจะไม่ยกนะครับ เพราะขับหน้าล้อจะเข้าไปอยู่ในรถเน้อก้านมันก็เลยยยกบ่ได้เจ้า เราก็เลยเรียกไอ้เจ้าteออฟขับหน้าว่าteก้านตรงไงจร้า 
คราวๆนะครับวิธีการดูล้อแบบ basic ที่เหลือก็ศึกษากันเอาเองนะครับ ถ้าไงเป็นไปได้ก็ลองใส่ดู และก็ต้องละเอียดนิดนึงนะครับเพราะล้อพวกนี้ราคาแพง ย้ำว่าต้องละเอียดนะครับ ลองใส่ลองกลิ้งดู ถ้าเจอพวกไม่ให้ลองอะไรเลย ไปซื้อเจ้าอื่นดีกว่านะครับ เอาแบบที่เราใส่ได้ลองได้จับได้ลูปได้คล้ำได้ จบแล้วจร้า ไงก็ลองศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับอะนี้คื่อแนวทางคราวๆในการเลือกล้อแท้มือสอง แบบง่ายๆนะครับ 

วิธีเลือกซื้อรถมือสอง เบื้องต้น

การซื้อรถมือสองนั้น ถ้าเรามีความละเอียดรอบคอบเพียงพอในการเลือกซื้อ ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจซื้อ ก็จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นว่าซื้อแล้วได้ใช้งานคุ้มค่า เพียงแต่เราดูแลบำรุงรักษารถให้ดี ก็ใช้ไปได้อีกนาน เป็นธรรมดาสำหรับรถดี ๆ จะไม่มีเรื่องจุกจิกกวนใจเรา หรือทำให้เราเสียเงินบ่อยๆ ทีนี้เรามาดูว่ารถมือสอง ที่เราจะซื้อมีวิธีการเลือกคร่าวๆ ไว้พอเอาตัวรอดได้ พอแนะนำเป็นแนวทางได้บ้าง โดยจะแยกเป็นหัวข้อง่ายๆ ดังนี้
1. ดูตัวถัง body
รถสวยหรือไม่ดูภายนอกรอบคันก็อาจพอบอกได้ แต่จะดูให้รู้ว่าเคยชนมาบ้างหรือเปล่า ก็ต้อง
- เปิดฝากระโปรงหน้ามาดูคานหน้า คานรถทุกคันจะมีรู กลมบ้าง เหลี่ยมบางแล้วแต่ ถ้ารูเบี้ยว ไม่คมก็แสดงว่ามีชนมาบ้าง
- ป้ายทะเบียนรถยับมีรอยดัด ก็ให้เดาไว้ก่อนเลยว่าเคยชนมา แผ่น plate ที่แปะติดคานมา มีรอยยับหรือดัดมาก็เช่นกัน
- สันด้านข้างตะเข็บความนูนเสมอกันหรือไม่ รอยอ๊าค จากโรงงานกับอู่เคาะพ่นสีก็ต่างจะกัน
- สำหรับด้านหลัง ก็เปิดฝากระโปรงดูเช่นกัน ไฟท้ายทั้ง 2 ดวงเสมอเบ้าหรือไม่ รอยแยกต่อชิ้นเว้นช่องไฟเท่ากันเปล่ามีเบี้ยวมีเกยกันหรือไม่ คานหลังก็ใช้ลักษณะการสังเกตเหมือนคานหน้าเพียงแต่ต้องลื้อพรมปูท้ายรถออกเพื่อให้เห็นพื้น
- พื้นรถด้านหลังโดยมากจะเป็นรอนๆ ก็สังเกตดูว่าเท่ากันหรือเปล่า รถบางคันโดนชนหลังมาช่างเคาะอาจทำดีมากจนดูแทบไม่ออก ต้องเช็ค มีบางคันเศษกระจกอาจหลงเหลืออยู่ให้เห็น
- ส่วนด้านข้าง ก็ดูเทียบสี จากโรงงานสีเดิม กับอู่สี สีจะเพี้ยนนิดหน่อยแต่ก็พอเห็น ใช้วิธีเคาะด้วยมือของเรานี่แหละ เคาะรอบคันเลย รถที่ทำสีมาแล้วเสียงจะทึบๆ ชิ้นที่สีเดิมจะมีเสียงโปร่งๆ ฟังดีดีจะรู้ถึงความแตกต่าง
- รถที่เคยหงายตะแคงมา ก็ดูหลังคารถเคาะๆ ดู สังเกตขอบคิ้วกระจกหน้าหลังว่าเหมือนกันหรือเปล่า มีรอยแตกของสีโป๊วหรือไม่ หลังคาไม่น่ามีสีสดสวยกว่าประตูข้าง เพราะเป็นส่วนที่รับแดดมากที่สุด
2. เครื่อง + ช่วงล่าง + เกียร์
- เครื่อง ถ้าเครื่องมีปัญหา หรือ หลวม จะเสียงดัง ไม่นิ่งรอบสูงบ้างต่ำบ้าง ไม่น่าเชื่อถือ เวลาเครื่องร้อนเรา ก็ดูก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา จะมีควันพุ่งออกมา หรือ น้ำมันเครื่องจะกระเซ็นเป็นละอองออกมาเอามือไปอังๆ ดูก็ได้
- เกียร์ ชุดส่งกำลัง คลัชต์ ถ้าเข้าเกียร์ ออกตัวแล้วๆ กระตุกๆ เข้าเกียร์ยาก นั่นหมายถึงมีปัญหา ถ้าวิ่งๆ อยู่มีเสียงหอนแหวกอากาศมาเข้ามา เวลาเข้าเกียร์ว่างรถจอดนิ่งๆ ไม่ดังก็แสดงว่าเกียร์มีปัญหา เกียร์ auto ก่อนเข้าเกียร์เหยียบเบรคคาไว้ เข้าเกียร์ตำแหน่ง D ไม่กระตุกกระชากก็พอใช้ได้ เข้าตำแหน่งเดิม N แล้วไป R ก็ไม่มีอาการอะไรก็แสดงว่าน่าจะผ่านแล้ว ต้องลองวิ่งดูว่าเกียร์ทำงานทุกเกียร์เปล่า ออกตัวก็เช่นกัน ออกตัวดีมั้ย ถ้าต้องรอสักพักถึงเคลื่อนตัวได้แสดงว่าเกียร์อาการแย่
- ช่วงล่าง เวลาขับไปเจอฝาท่อ เจอถนนคอนกรีตที่กร่อน มีหลุม มีบ่อ ถ้าลุยเข้าไป เดี๋ยวเสียงกรุกกรักจะปรากฏถ้าไม่แน่น หรือ อาจสะท้านมาถึงพวงมาลัยเลยก็มี แต่อย่าขับเร็วมากนักอาจเสี่ยงต่ออันตราย ก็ได้ ต่อไปเป็นเบรค และ สภาพยาง อาจซื้อแล้วเข้าร้านเปลี่ยนของใหม่เลย เอาแบบปลอดภัยไว้ก่อน ก็ชัวร์ดี
3. ภายในห้องโดยสาร
- กลิ่น ถ้าเปิดรถแล้วได้กลิ่นอับๆ ชื้นๆ แสดงว่าน้ำเข้ารถ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ง่ายต่อการดูมากเลย คือเอายางปูพื้นออก ดูว่าพื้นพรมมีรอยชื้นของน้ำหรือเปล่า บางคันพื้นอาจผุจนทะลุ ต้องดูหมดทั้ง 4 จุด
- ดูความเรียบร้อย คอนโซล แตกหรือไม่ ช่องแอร์สมบูรณ์หรือเปล่า ช่องแอร์เป็นอะไรที่ซ่อมยากนะ เพราะอาจไม่มีอะไหล่ด้วย
- แอร์ เปิดแอร์ เบอร์ 1-4 ดูเลยว่ามันไล่ระดับความแรงหรือเปล่า แรงลมจะบอกได้ว่าตันหรือเปล่า สมัยนี้ล้างแอร์ก็ราคาแพงด้วย เปิดทิ้งไว้แล้วออกไปเดินดูรอบๆ รถนานๆ หน่อย ไม่ใช่ แค่แป๊บเดียว แล้วเดินเข้าไปในรถก็จะรู้ว่าแอร์เย็นฉ่ำ หรือ ไม่เย็นฉ่ำ ลองฟังดูว่ามีเสียงอะไรดังผิดปรกติหรือเปล่า แอร์ตัดตามปกติหรือไม่
การดูรถถ้าจะดูให้ละเอียดครบถ้วน อาจต้องใช้เวลามากสักหน่อยแต่ก็คุ้มค่า รถยนต์เป็นอะไรที่ราคาสูงนะคะ ถ้าดูครบถ้วนตามที่แนะนำ ก็น่าจะได้รถที่พอใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้วล่ะค่ะ การซื้อรถมือสอง ต้องเตรียมเงินอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อถ่ายเปลี่ยนของเหลวในรถออกให้หมด เพื่อเริ่มทำการจดบันทึกใหม่ ทั้งเลขกิโลเมตรและวันที่ว่าเราทำอะไรไปบ้างกับรถคันนี้เมื่อไหร่ เท่าไหร่ book service ที่เราทำขึ้นเองจะมีประโยชน์มากๆ เวลาขายต่อ เอาให้คนที่จะซื้อดู ทำให้เครดิตดีอีกเยอะเลย ยิ่งเราละเอียดมากเขาก็เชื่อถือมาก

ที่มา 
http://www.unseencar.com/content5.php 

ตรวจเช็คน้ำมันเบรค

วิธีการตรวจเช็คระดับน้ำมันเบรคควรจะอยู่ระหว่าง MAX และ MIN แต่หมั่นตรวจเติมให้อยู่ในระดับ MAX ดีที่สุด
เทคนิค : เติมน้ำมันเบรคจนถึงเส้นไข่ปลาและเมื่อปิดฝา ระดับน้ำมันจะขึ้นถึงระดับที่ถูกต้อง
เครื่องมือ - อุปกรณ์ : ผ้าชุบน้ำผืนขนาดพอสมควร ใช้ปิดตัวถังรถ ด้านที่เติมน้ำมันเบรคเพื่อป้องกันการกระเด็นไปถูกตัวถังรถ
ข้อควรระวัง
-  เติมน้ำมันเบรคให้ตรงกับระบบเบรคของรถหรือน้ำมันเบรคที่เคยใช้อยู่เท่านั้น แดง-แดง ใส-ใส
-  น้ำมันเบรคเป็นอันตรายต่อดวงตาและทำลายสีรถ ระวังล้นหรือกระเด็น
-  น้ำมันเบรกจะเสื่อมคุณภาพหากมีน้ำหรือความชื้นปนลงไป
ระดับน้ำมันเบรค

ตรวจเช็คน้ำฉีดกระจก

การเติมน้ำฉีดกระจกให้เติมในถังสีขาวให้เต็มหรือบางท่านอาจจะผสมแชมพู เพื่อให้กระจกใสมากขึ้น
-  ระดับน้ำในถังน้ำฉีดกระจกอยู่ในระดับต่ำหรือว่าไม่มีเลย : เมื่อตรวจพบว่าระดับน้ำพร่อง ควรเติมน้ำผสมกับน้ำยาทำความสะอาดกระจกลงไปเล็กน้อย จะช่วยทำความสะอาดได้ดีกว่าน้ำสะอาดเพียงอย่างเดียวนอกจากการตรวจระดับน้ำ แล้วควรที่จะตรวจสภาพของถังน้ำเองว่ารั่วหรือไม่ โดยการเติมน้ำลงไปทิ้งเวลาสักพักและค่อยกลับมาตรวจระดับน้ำอีกครั้งว่าพร่อง หรือลดลงมากเพียงใด เมื่อตรวจไม่พบรอยรั่ว แล้วค่อยลองฉีดน้ำล้างกระจกอีกครั้ง
-  สายยางน้ำฉีดกระจกหลุดหรือรอยฉีกขาด : วิธีตรวจเช็คคือมองไล่ตั้งแต่การลำเลียงน้ำจากถังน้ำผ่านมอเตอร์ปั้มน้ำที่ ติดอยู่กับถังน้ำมองไล่ตั้งแต่สายยางที่ออกจากถังน้ำไปจนถึงหัวฉีดซึ่งถ้าพบ ว่ามีส่วนใดขาดหรือหลุดควรทำการซ่อมแซม
-  หัวฉีดน้ำอุดตัน : อาจจะเกิดจากการที่มีฝุ่นละอองไปอุดตันหัวฉีดน้ำ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการนำเข็ม หรือเหล็กแหลมที่สามารถแทงผ่านรูฉีดน้ำได้มาแทงผ่านรูฉีดน้ำเพื่อดันสิ่งที่ อุตันอยู่ให้หลุดออก พร้อมกับการตั้งระดับให้หัวฉีดสามารถฉีดน้ำพอดีกับกระจกไม่ต่ำหรือสูงเกินไป ส่วนถ้าใช้เหล็กแหลมทิ่มก็แล้วยังไม่หลุดต้องใช้มาตรการสุดท้ายคือการนำหัว ฉีดทั้งหัวไปต้มในน้ำร้อนเพื่อละลายคราบที่อุดตัน
-  มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ปั้มน้ำจากถัง : ถ้าตรวจตั้งแต่รายการ 1-3 แล้วก็ยังฉีดน้ำล้างกระจกไม่ได้ โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีหัวฉีด 2 ตัว และไม่สามารถฉีดน้ำได้ทั้ง 2 ตัวคงต้องพุ่งเป้าไปที่‘มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ปั๊มน้ำจากถัง’ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ปั้มน้ำเสียนอกจากว่าจะหมดอายุการใช้ หรือเกิดจากการใช้งานที่ผิดอย่างเช่นระดับน้ำในถังน้ำต่ำหรือแห้งแต่ผู้ใช้ ยังคงพยายามฉีดน้ำทำให้มอเตอร์ร้อนจัดและเสียในที่สุด หรือการฉีดน้ำเป็นเวลานานเกินกว่า 20 วินาทีบ่อยๆ จะทำให้มอเตอร์ร้อนจัดและมีอายุสั้นลง

การตรวจสอบน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์

เราสามารถตรวจสอบระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ได้ทั้งตอนที่เครื่องเย็น(ไม่ติดเครื่อง)กับตอนที่เครื่องทำงาน การตรวจสอบน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เมื่อเครื่องทำงานแล้วมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
  1. จอดรถบนพื้นราบแล้ว Start เครื่องยนต์
  2. หมุนพวงมาลัยไปตำแหน่งซ้ายสุดและขวาสุดเพื่อเพิ่มอุณหภูมิน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ แต่อย่าหยุดค้างที่ตำแหน่งซ้ายสุดหรือขวาสุดนานติดต่อกันเกิน 10 วินาที แล้วหมุนพวงมาลัยกลับมาที่ตำแหน่งปกติ
  3. ตรวจสอบระดับน้ำมันพวงมาลัยที่บริเวณข้อความ Hot
  4. ถ้าเป็นกระปุกน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์แบบทึบ การตรวจสอบกระทำโดยการเปิดฝาซึ่งมีก้านจุ่มแสดงระดับน้ำมัน แล้วตรวจสอบคราบน้ำมันที่ก้านวัด
รูปแสดงกระปุกน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์แบบทึบ
5.  ถ้าเป็นกระปุกน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์แบบใส สามารถตรวจสอบระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ได้ที่ขีดแสดงระดับข้างกระปุก
รูปแสดงกระปุกน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์แบบใส
รูปสภาพแสดงตัวอย่างน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์เปรียบเทียบระหว่างน้ำมันที่ผ่านการใช้งานแล้วกับน้ำมันใหม่

จะติดฟิล์มกรองแสง แบบไหนถึงจะดีและคุ้มค่า

วันนี้ได้ไปอ่านเจอบทความดีๆ เกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง อ่านแล้วต้องบอกเลยครับว่าเนื้อหาดีมากๆ ก็เลยนำมาบอกเล่าเรื่องฟิล์มกรองแสง ติดรถยนต์สู่กันฟังว่า ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ที่เราๆ ท่านๆ ติดกันอยู่และกำลังจะไปติดเนี่ย จะติดแบบไหนดีสิ่งสำคัญที่สุดคือ ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่ารถใช้เองไหม รถอะไร ถ้าใช้เองและคุณอยู่กับรถทั้งวันก็แนะนำให้ติดบานหน้าเต็มไปเลย เพราะการกันความร้อนต่างกับการติดหน้าคาดมาก ยิ่งแดดบ้านเราตอนนี้ เผาแขน และ ขาเวลาขับรถอยู่ด้วย แต่หากไม่ได้ขับทั้งวันก็ติดแบบหน้าคาดก็ได้ ก็แล้วแต่ว่าจะคาดมากคาดน้อยนะครับ
และในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า บางค่ายจะผลิตฟิล์มหลายเบอร์ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อตอบสนองความต้องการของท่านผู้ใช้ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้เราได้เลือกใช้กันตามความพอใจ ฟิล์มติดรถยนต์ในปัจจุบันก็จะแบ่งออกเป็น
จะติดฟิล์มกรองแสง แบบไหนถึงจะดีและคุ้มค่า
  1. ฟิล์มมืด – วัยรุ่น เน้นมีความลับเยอะ ป้องกันคนมองเห็นของมีค่า ซ่อนกิ๊ก ฯลฯ
  2. ฟิล์มปรอท – สะท้อนแสง เข้าตาชาวบ้าน รถดูใหม่ขึ้น ใช้แทนกระจกได้ สะท้อนความร้อนได้ดีเพราะมีปรอท
  3. ฟิล์มใส – เน้นขับกลางคืน สบายตา โปร่งใส คนขับสวย-หล่อ (โชว์) รถราคาแพง (ไม่รู้ทำไม รถที่เข้ามาติดมักจะเป็นพวกSUV)
  4. สีของฟิล์ม- อมเชียว สีชา สีฟ้า สีใส สีดำ ฯลฯ
  5. ราคา- เน้นถูกจะดีมากสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาในรถนาน หรือฟิล์มที่เน้นคุณภาพ ถ้าแบบนี้ก็จะราคาแพงขึ้นมานิดหน่อยครับ ก็แล้วแต่ความพอใจกันนะครับ
เราลองมาดูคำถามพร้อมกับคำตอบที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะถามหรือคิดกันกับ 7 ข้อสงสัยไปกับฟิล์มกรองแสง
  • 1Q : ฟิล์มดำป้องกันความร้อนดีกว่าฟิล์มใส?
  • 1A : ไม่ใช่ อยู่ที่วัสดุที่นำมาบีบอัด และสารปรอทสะท้อนแสง(ปรอท) เทคนิควิธีต่างๆ ที่พัฒนาขึ้น ฟิล์มดีบางยี่ห้อ ยังสู้ฟิล์มถูกๆ ไม่ได้เลย ของแบบนี้ต้องใช้เครื่องมือ และมือสัมผัสความร้อนเองโดยตรง
  • 2Q : ฟิล์มหน้าเต็มกับหน้าปกติ(คาดบน) ต่างกันอย่างไร?
  • 2A : แน่นอน การติดฟิล์มบานหน้าเต็มจะป้องกันความร้อนที่แผดเผาเข้ามาได้ดีกว่า ฟิล์มคาดบน ซึ่งราคาก็จะสูงขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะต้องใช้ฝีมือในการติด (แผ่นเดียวทั้งบาน ไม่มีการต่อฟิล์ม) อุปกรณ์ที่ใช้ สถานที่ติดตั้ง เฉพาะบานหน้าก็ราคาหลักพันขึ้นทั้งนั้นครับ
  • 3Q : ทำไม บานหน้าถึงใสกว่าบานข้าง?
  • 3A : ปกติแล้ววิสัยทัศน์การมองของเราขับรถในยามค่ำคืน โดยไม่ติดฟิล์มก็เป็นอันตรายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องสายตาด้วยแล้วละก็ อาจจะก่อให้เกิดอุบัตติเหตุได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องติดบานหน้าให้ใสกว่าครับ แต่ถ้าจะติดมืดก็ติดได้ครับแต่ไม่แนะนำ
  • 4Q :  เรื่อง เปอร์เซนต์ของฟิล์มมีแบบไหนบ้าง และใช้อย่างไร?
  • 4A : เริ่มต้นที่ 20%-40% จะใสเหมาะแก่การติดบานหน้าเต็ม / 60%-80% เหมาะแก่การติดด้านข้าง+หลังครับ
  • 5Q : ฟิล์ม ปูด ร่อน พอง เป็นจีบ เคล็มได้ไหมถ้าอยู่ในประกัน?
  • 5A : ได้ครับถ้าอยู่ในประกัน ฉะนั้นตอนที่เราไปติดกับร้านค้าต้องไม่ลืมที่จะตกลงกันในเรื่องของรายละเอียดที่อยู่ในการประกันฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์
  • 6Q : การ รับประกันฟิล์ม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่กี่ปี?
  • 6A : โดยส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ 5 - 7 ปี
  • 7Q : ฟิล์ม เป็นเม็ดๆ เกิดจากอะไร?
  • 7A : ฝุ่นละอองครับ เรื่องนี้ความจริงไม่อยากตอบเลย เพราะฟิล์มเป็นเม็ดนั้นเกิดขึ้นทุกคัน อยู่ที่ว่าจะมาก น้อยแค่ไหน ถ้าเจอลูกค้าที่เนี๊ยบๆ หน่อยนะ ร้านค้าพูดไม่ออกครับ ต้องเปลี่ยนให้อย่างเดียว แต่ๆๆ จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เกิดเม็ดน้อยที่สุด ก็คือ ติดฟิล์มในห้องปิดที่สะอาด หรือ ห้องแอร์ก็ดี แต่เชื่อไหมว่า มันก็ยังอาจจะเป็นเม็ดหลงเข้ามาอยู่ดี
          kanchanaburiai,thaimazda3

การปรับตั้งรถเพื่อการดริฟท์ ขั้นต้น

1. ช็อคอัพฯ คู่หน้า แบบมีบอลจ๊อยท์ เพื่อปรับตั้งให้มุมล้อหน้าแบะออก หรือ แคมเบอร์เป็นลบ เพิ่มเพิ่มความยึดเกาะของล้อคู่หน้าให้มากกว่าคู่หลังโดยเฉพาะในโค้ง ซึ่งการปรับเช่นนี้จะช่วยให้การควบคุมรถผ่านโค้งไปง่ายขึ้น ส่วนล้อหลังพยายามให้มุมแคมเบอร์เป็นกลางให้มากที่สุด เพื่อที่จะทำให้ท้ายกวาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการแบะของล้อที่มีน้อยกว่าล้อหน้า 

2. ช็อคอัพฯควรมีลักษณะ แข็งและหนึบ พวกแข็งแบบเด้งๆแบบช็อคอัพฯตัดแกนอัดน้ำมัน ตัดสปริง ใช้ไม่ได้ อันตราย 

3. เฟืองท้าย แบบ ลิมิเต็ด สลิป ดิฟเฟอเรนเชียล หรือ L.S.D. ( Limited Slip Differential) ภาษาชาวบ้านเรียก เต็ด ขั้นต้นใช้เฟืองท้ายลิมิเต็ดฯ ที่ติดมากับโรงงานก็เพียงพอ เช่นของนิสสันสกายไลน์ หรือ ซิลเวีย สำหรับรถนิสสัน ส่วนโตโยต้า ก็จะมีของติดรถอยู่แต่จะหายากกว่าของนิสสัน สำหรับ เฟืองท้ายลิมิเต็ดของแต่งนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีฝีมือขึ้นไปอีกระดับแล้ว  การดริฟท์โดยปราศจากเฟืองท้าย ลิมิเต็ดฯ นั้น จะทำให้การดริฟท์ยากขึ้น เนื่องจากเฟืองท้าย ลิมิเต็ดฯจะทำให้ล้อทั้ง 
ข้าง ปั่นออกมาพร้อมๆกัน ช่วยให้รถนั้นนิ่งกว่าในขณะการดริฟท์ เมื่อเทียบกับเฟืองท้ายแบบธรรมดา เพราะเฟืองท้ายแบบธรรมดา ล้อจะหมุนแค่ข้างเดียวและลากล้ออีกข้างไปด้วย ซึ่งทำให้เสียกำลังไป

วิธีการดริฟท์  (ก่อนอื่นเราควรปิดที่ถูกสร้างมาเพื่อกันไม่ให้รถเกิดการสไลด์)
1. Braking Drift - การดริฟท์ชนิดนี้ทำได้โดยการ เหยียบเบรกอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่โค้ง เพื่อที่ว่าจะได้ทำให้รถนั้นสามารถถ่ายน้ำหนักและทำให้ล้อหลังสูญเสียแรงยึดเกาะ จากนั้นก็ควบคุมการดริฟท์ด้วยพวงมาลัยและคันเร่ง การปรับอัตราการจับของเบรกก็ช่วยในการดริฟท์ได้ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การขับของแต่ล่ะคน โดยปกติแล้ว หากอัตราการจับของเบรกค่อนไปทางล้อหลังจะช่วยให้เกิดการดริฟท์ได้ดีกว่า

2. Power Over Drift - การดริฟท์ชนิดนี้ทำได้โดยการ เข้าโค้งทั้ง ๆ ที่เหยียบคันเร่งเต็มที่ก่อให้เกิดการโอเวอร์สเตียร์เมื่อถึงโค้ง มันเป็นวิธีดริฟท์โดยทั่วไปสำหรับพวกรถขับเคลื่อน ล้อ (ได้ผลดีกว่ารถขับเคลื่อนล้อหลัง) Keiichi Tsuchiya เคยบอกว่าเค้าก็เคยใช้เทคนิคนี้เมื่อตอนที่เค้ายังหนุ่ม และกลัวที่จะดริฟท์เมื่อถึงโค้ง แต่อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้จะก่อให้เกิดอาการล้อฟรีทิ้งมากกว่าการดริฟท์หากเข้าด้วยมุมที่ผิด

3. Inertia (Feint) Drift - 
เทคนิคนี้สามารถทำได้โดยการโยกรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งและหลังจากนั้นก็อาศัยแรงเฉื่อยของรถ เพื่อเหวี่ยงรถกลับมาในทิศทางของโค้ง จากการที่เราหักหัวออกนอกโค้ง และหักกลับมาอย่างเร็ว คุณก็จะได้มุมที่ดีกว่า ในบางครั้ง การเบรกระหว่างที่เหวี่ยงรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งนั้นก็ช่วยในเรื่องของการถ่ายเทน้ำหนักเช่นกัน และจะทำให้เข้าโค้งได้ดีกว่าเดิมอีก นักดริฟท์มืออาชีพหลายคนกล่าวไว้ว่า นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคทำได้ยากที่สุด เนื่องจากมีโอกาสหมุนสูง

4. Handbrake/ebrake Drift - เทคนิคนี้ค่อนข้างจะง่าย ดึงเบรกมือเพื่อให้ด้านหลังสูญเสียแรงยึดเกาะและควบคุมการดริฟท์ด้วยพวงมาลัยและการเดินคันเร่ง มีบางคนถกเถียงกันในเรื่องนี้ว่าการใช้เบรกมือนั้น ก่อให้เกิดการดริฟท์ หรือเป็นเพียงแค่พาวเวอร์สไลด์ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว การใช้เบรกมือก็ไม่ต่างจากเทคนิคอื่น ๆ เพื่อดริฟท์ โดยทั่วไปแล้วนี่เป็นเทคนิคหลักสำหรับการดริฟท์รถขับเคลื่อนล้อหน้า นี่เป็นเทคนิคแรกที่มือใหม่จะใช้หากรถของเค้าไม่มีแรงกำลังมากพอที่จะทำให้รถสูญเสียแรงยึดเกาะด้วยเทคนิคอื่น ๆ และเทคนิคนี้ก็ใช้กันอย่างมากในการแข่งดริฟท์เพื่อดริฟท์ในโค้งกว้าง

5. Dirt Drop Drift - เทคนิคนี้ทำได้โดยการให้ล้อหลังของรถตกลงไปข้างทางที่เป็นดินเพื่อรักษาหรือเพื่อให้ได้มุมการดริฟท์โดยไม่สูญเสียกำลังหรือความเร็ว และเพื่อที่จะเตรียมสำหรับโค้งต่อไป เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะกับถนนที่ไม่มีแผงกั้นและมีดินหรือฝุ่นหรืออะไรอย่างอื่นที่ทำให้สามารถสูญเสียแรงยึดเกาะได้ นี่เป็นเทคนิคที่ใช้กันโดยทั่วไปในการแข่งแรลลี่ WRC

6. Clutch Kick - เทคนิคนี้ทำได้โดยการเบิ้ลคลัทช์ (การเหยียบและปล่อย ปกตจะกระทำมากกว่า ครั้งในการดริฟท์เพื่อการแต่งโค้งด้วยความรวดเร็ว) เพื่อให้แรงขับเคลื่อนเกิดการสะดุด ทำให้รถเสียสมดุล มันทำให้ล้อหลังเกิดอาการลื่นไถลและทำให้คนขับสามารถก่ออาการโอเวอร์สเตียร์ได้

7. Choku Dori - นี่เป็นเทคนิคขั้นสูงซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้หนี่งในเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อเริ่มการดริฟท์ จากนั้นก็ใช้เบรกมือเพื่อการยืดการดริฟท์ในโค้ง

8. Changing Side Swing - เทคนิคนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแข่ง D1 ในญี่ปุ่น และมีความคล้ายคลึงกับ Inertia (Feint) Drift เป็นอย่างมาก ส่วนมากมันจะถูกใช้ในตอนที่จะดริฟท์โค้งแรก ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นโค้ง Double Apex และอยู่ต่อจากทางตรงยาว หากทางตรงยาวที่อยู่ก่อนโค้ง Double Apex นั้นมีลักษณะเป็นทางลง นักขับจะขับชิดขอบสนามด้านในโค้ง จากนั้น ด้วยการกะจังหวะที่ถูกต้อง นักขับจะเหวี่ยงหักรถไปอีกด้านนึงทันที การทำแบบนี้ ทำให้โมเมนตัมของรถเปลี่ยนไป ทำให้ล้อหลังสูญเสียแรงยึดเกาะ ตอนนี้รถอยู่ในช่วงดริฟท์แล้ว หลังจากนั้นก็ดริฟท์อย่างต่อเนื่องไปจนผ่านโ
ค้ง

9. Manji Drift เทคนิคนี้ใช้ตอนดริฟท์บนทางตรง ผู้ขับจะเหวี่ยงรถสลับข้างไปมาระหว่างดริฟท์ ซึ่งดูน่าทึ่งมาก มันสามารถใช้เป็นเทคนิคนำก่อนจะใช้เทคนิคต่อ ๆ ไปในข้างต้นก็ได้

10. Dynamic Drift เทคนิคนี้จะคล้าย ๆ กับ Choku Dori มันใช้รูปแบบของเทคนิคด้านบนทั้งหมด และไม่จำกัดเพียงแค่ เทคนิค นำมารวมกันเพื่อให้ได้การดริฟท์ที่วางเอาไว้
11. Kansei Drift - เทคนิคนี้จะใช้เมื่อการแข่งความเร็วกัน ขณะที่เข้าโค้งมาด้วยความเร็ว คนขับจะยกคันเร่งขึ้นในขณะที่ค่อยๆเลี้ยวเข้าโค้งเพื่อให้เกิดอาการท้ายกวดอย่างนุ่มนวล และจากนั้น ก็คุมการดริฟท์โดยใช้ พวงมาลัย เบรก และ คันเร่ง